การโฆษณา หมายถึง การเสนอขาย 1. สินค้า 2. บริการ เช่น
1. เสนอขายสินค้าที่มีรูปร่าง จึงจับ ยึด ถือ และสามารถมองเห็นได้ เช่น บ้าน รถ อาหาร เสื้อผ้า ยาสีฟัน เป็นต้น
2. เสนอขายบริการที่ไม่มีรูปร่าง จึงไม่สามารถจับ ยึด ถือ และไม่สมารถมองเห็นได้ แบ่งเป็น 2 ประเภทคือบริการด้านวิชาการและบริการด้านแรงงาน เช่น 1. ครู แพทย์ ทนายความขายความรู้และวิชาการ 2. กรรมกรขายแรงงาน รับจ้างทำความสะอาดบ้าน ล้างรถยนต์ ขนของจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เป็นต้น
การประชาสัมพันธ์ หมายถึง การแจ้งข่าวความเคลื่อนไหวขององค์กร เช่น กระทรวงศึกษาธิการจะจัดผ้าป่า กฐิน หรือย้ายไปตั้งที่ใหม่ จึงแจ้งให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ เป็นต้น
สรุป หัวใจของการโฆษณาคือการเสนอขายสินค้าและขายบริการ แต่หัวใจของการประชาสัมพันธ์คือการแจ้งข่าวซึ่งไม่มีการเสนอขายสินค้าและบริการ
ประโยชน์ของการโฆษณา
โดยมากลูกค้ามักจะเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าที่พวกเขาคุ้นเคยกับชื่อร้านและชื่อของสินค้าที่เขาได้ อ่าน ได้ฟัง และได้เห็นชื่อร้านและชื่อสินค้านั้นบ่อย ๆ และการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้ามักจะผ่านขั้นตอนต่าง ๆ เหล่านี้เสมอ
1. ลูกค้ามักจะนึกถึงร้านค้า สินค้า และการบริการที่ได้ดู ได้ฟัง และได้อ่าน
จากการโฆษณาของหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์
2. แรงจูงใจจากการโฆษณา จะกระตุ้นให้ลูกค้าอยากรู้เกี่ยวกับ ร้านค้า สินค้า การบริการ และคุณภาพของสินค้ามากขึ้น
3. ลูกค้าไปที่ร้านเพื่อสำรวจร้านค้า สำรวจสินค้าและสำรวจการการบริการ
4. ลูกค้าจะวิเคราะห์ผลประโยชน์ที่ได้รับและเปรียบเทียบราคาของสินค้า
5. เมื่อลูกค้าพอใจ เขาจะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ ส่วนสิ่งที่จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ คือการส่งเสริมการขายให้ตรงจุด และกลยุทธ์การขายที่ชาญฉลาด
หมายเหตุ การมีสินค้าดี ๆ แต่ไม่โฆษณาก็เหมือนมีเพชรเม็ดงามที่เก็บไว้ในตู้เซฟนั้นเอง และการมีสินค้าไม่ดี ไม่มีคุณภาพ แต่หมั่นโฆษณาก็เหมือนการเร่งประหารธุรกิจของตัวเองแท้ ๆ เพราะในโลกนี้ ไม่มีคนจะให้เราโกหกหลอกลวงได้ตลอดไป และอิทธิพลของปากต่อปากนี้ศักดิ์สิทธิ์มากครับ
โครงสร้างของการโฆษณาที่สมบูรณ์แบบต้องประกอบด้วย
1. ชื่อร้าน ชื่อบริษัท ชื่อโรงเรียนของผู้ประกอบธุรกิจ
2. ที่อยู่ที่ติดต่อได้สะดวกและรวดเร็ว
3. โทรศัพท์ โทรสาร อีเมล์
4. สินค้า ผลิตภัณฑ์หรือการบริการที่ท่านเสนอขาย
5. ราคาและสิทธิพิเศษที่ผู้ซื้อจะได้รับ ( ผู้โฆษณามักละลืมข้อที่ 5 )
หมายเหตุ การโฆษณาที่สร้างสรรค์ เพื่อคืนกำไรให้กับสังคม เช่น การโฆษณาของ “ กระทิงแดง ” ในปัจจุบัน จะดึงดูดความสนใจของผู้ชม และผู้ชมจะยินดีสนองตอบตามที่โฆษณาได้มากขึ้น การสร้างชุมชนสัมพันธ์ของคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี โดยให้ บริษัททศภาคจำกัด ถ่ายทอดฟุตบอลโลกโดยไม่มีโฆษณานั้น ทำให้เบียร์ช้างชนะใจผู้ชมฟุตบอล จนกระทั้งเบียร์ช้างคลองส่วนแบ่งการตลาดถึง 60 % ในปีต่อมา
แรงจูงใจให้ซื้อสินค้ามี 5 ประการ คือ
1. ซื้อเพื่อความอยู่รอด ( to live ) เช่น ซื้ออาหาร ยา และของจำเป็นต่อชีวิตเป็นต้น
2. ซื้อเพื่อเรียนรู้ ( to study ) เช่น ซื้อหนังสือ อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์
เพื่อเรียนรู้ และเพื่อส่งเสริมการศึกษา เป็นต้น
3. ซื้อเพราะรัก ( to love ) แบ่งเป็น 2 ประการ
ประการที่หนึ่ง ซื้อเพราะรัก เคารพ ศรัทธา ผู้ขาย หรือเจ้าของผลงาน เช่น ซื้อหนังสือชีวะประวัติหรือผลงานของท่านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นต้น
ประการที่สอง ซื้อเพราะรักผลิตภัณฑ์หรือสินค้านั้น ๆ เช่น ซื้อตุ๊กตาหมี ซื้อตุ๊กตาสุนัข เพราะรักหมีและสุนัข หรือซื้อสินค้าเพราะรักและศรัทธาผู้ขายสินค้า เป็นต้น
4. ซื้อเพื่อความสะใจ เช่นเมื่อก่อนนายดำยากจนมาก ๆ อยากใส่ทองแต่ไม่มีเงินซื้อใส่ แต่พอเป็นเศรษฐี จึงซื้อสร้อยทองเส้น 30 บาทใส่ เป็นต้น
5. ซื้อเพื่ออวดคน เช่น ซื้อรถราคาแพงขับ ทั้ง ๆ ที่ตนเองฐานะก็ไม่ค่อยดีแต่ต้องการอวดคน หรือเพราะมีเงินมากจึงซื้อข่มคนอื่น เป็นต้น
นักการตลาดกล่าวเป็นข้อคิดว่า
วิธีง่าย ๆ ที่จะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจก็คือ จงเรียนรู้ว่าคนและชุมชนเขาต้องการอะไร และจงขายสิ่งที่ต้องการนั้น เมื่อเขาต้องการเขาจะซื้อด้วยความสมัครใจ ไม่ต้องยัดเยียดและอ้อนวอนให้เขาซื้อ
ส่วนวิธีที่จะทำให้ธุรกิจล่มสลายก็คือการเสนอขายสินค้าและบริการที่คนและชุมชนไม่ต้องการ เช่น เวลาที่ไข้หวัดนกกำลังระบาดแต่เราขายข้าวมันไก่ ปิ้งไก่ ก้วยเตี๋ยวไก่ เป็นต้น
การโฆษณาที่เดินตามหลังผู้อื่นก็เท่ากับว่าคุณเคารพในความสามารถและการตัดสินใจของผู้อื่นมากกว่าความสามารถและการตัดสินใจของตนเอง ถ้าคุณทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่า คุณก็เป็นผู้ตาม ไม่ใช่ผู้นำ
วิลเลียม เช็คเสปียร์ กล่าวว่า โลกทั้งโลกเป็นเหมือนร้านค้าหรือตลาด และคนทั้งหลายในโลกนี้เป็นทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ผู้ซื้อทั้งหลายจะเป็นลูกค้าของคุณหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณได้ทำ 4 ประการต่อไปนี้หรือไม่
1. คุณคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าหรือไม่ว่าเขาต้องการอะไร
2. คุณขายสินค้าหรือบริการที่ลูกค้าต้องการหรือไม่
3. คุณส่งเสริมการขายสินค้าหรือบริการอย่างสม่ำเสมอหรือไม่
4. คุณพัฒนาสินค้าและการบริการอยู่ตลอดเวลาหรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น